วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


อาหารประเภทเนื้อทำให้ต้นธารแห่งพลังบริสุทธิ์แต่การถ่ายภาพเนื้อสัตว์ให้ออกมาดีต้องใช้ตู้ไฟถ่ายภาพถึงจะดี

คุณประโยชน์ของอาหารม้งสวิรัตินอกจากพวกสัตว์กินเนื้อ เช่น เสือ สิงโต ฯลฯแล้ว วัว ม้าช้าง ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงไว้ใช้งานล้วนเป็นสัตว์กินพืช ความเชื่อที่ว่า “ไม่กินเนื้อก็ไม่มีเรี่ยวแรง”
เป็นแค่ความรู้สึกที่คิดกันไปเองหมายความว่าสัตว์กินพืซกับเป็นสัตว์ที่ทำงานหนักให้มนุษย์ ด้วยเหตุผลเดียวกันมนุษย์ก็น่าจะเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหารหลักมิใช่หรือ?ในชุมนุมกวี “หมื่นไม้ใบ” มีกลอนบาทหนึ่งว่า‘‘ผักอ่อนงามยามวสันต์สะท้อนให้เห็นทิศทางการกินอยู่ในชีวิตประจำวันของซาวณี่ปุนแบบเดิมอย่างชัดเจน สมัยนั้นชาวบ้านมักเก็บผักปามาทำอาหาร โดยเฉพาะผักปาตามชายปาชายทุ่งใกล้บ้านสภาพเช่นนื้มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์แพทย์จีนแผนโบราณเช่นเดียวกันกล่าวคือ มนุษย์ก็ไม่ต่างจากพืชควรได้ธาตุปัจจัยดำรงชีพจากผืนดีนที่ตนถือกำเนิดขึ้นมานี่คือเงื่อนไขอันจำเป็นยิ่งสำหรับการดำรงพันธุปัจจุบัน ทางคมนาคมสะดวกมาก ชาวโตเกียวจะซื้อผักที่มาจากคันไซกินเมื่อใดก็ได้ชาวคันไซเองจะซื้อผักกาดหัวที ปลูกในเนริมะกินได้ทันทีเช่นกัน เมื่อถึงหน้าเทศกาลยังหาซื้อผักชนิดต่าง ๆ ที่ส่งมาขายจากจีนไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ได้อีกด้วยในคัมภีร์อาหารบำรุงของจีน มีบันทึกว่า“ร่างกายและผืนแผ่นดินไม่แยกจากกัน” หมายความว่าร่างกายและผืนแผ่นดินที่ตนถือกำเนิดมาต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว จะแยกจากกันไม  ได้ในคัมภีร์เล่มเดียวกันบันทึกอีกว่า“ยาและอาหารมีต้นกำเนิดเดียวกัน” หมายความว่า อาหารทุกอย่างก็คือยาถ้าวิเคราะห์ตามตัวอักษรจีน คำว่า “ยา” ซึ่งออกเสียงว่า “เย่า”ในสำเนียงจีนกลางประกอบด้วย อักษรนำ คือ หัวของ “เฉ่า” ซึ่งแปลว่าหญ้า และอักษรประกอบ คือ ตัว “เล่อ” ซึ่งแปลว่า สุขสันต์เมื่อรวมกันแล้ว หมายความว่า ได้รับความสุขสันต์จากหญ้ายาจีนตั้งแต่โบราณกาลมา ล้วนใช้หญ้าเป็นวัตถุดิบ เช่น เวลาเป็นหวัด ก็ต้ม “กัวะกึงหึง”รับประทาน มีตัวยาสำคัญคือ รากของ
กล่องถ่ายรูป“กัวะ”ซึ่งเป็นเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง และมีตัวยาสมุนไพรอื่น ๆ ประกอบใช้รักษาโรคหวัดธรรมดาได้ผลชะงัด คนสมัย-ก่อนเวลาเป็นหวัดล้วนต้มนํ้ากัวะกึงหึง”รับประทานทั้งนั้น เพราะรักษาและป้องกันโรคหวัดได้ผลชะงัดโดยสรุปคือ ตัวยาในยาจีนแผนโบราณล้วนได้มาจากใบ หน่อราก หรือลำต้นของหญ้า พูดง่าย ๆ คือเอา “หญ้า”มาทำยาตังนั้นถ้าถือว่าการกินเนื้อคือปรากฏการณ์แห่งอารยธรรมแล้วก็ผิดถนัดชาวญี่ปุนทั่วไปในปัจจุบันเวลารับประทานอาหารนอกบ้านโดยมากจะลังอาหารประเภท “เสต๊กเนื้อ”“ชี่โครงหมูทอด” ฯลฯ พอกสับถึงบ้านก็มักพูดเองว่า “แม่ทำงานนอกบ้าน เหนื่อยมากๆ ก็เลยกินเนื้อมากขึ้น” และดังนั้น พวกเด็ก ๆก็กินเนื้อตามคุณแม่ไปด้วย พอพูดถึงเรื่องกินผัก ก็จะกินกันพอเป็นพิธีสภาพไม่กินผักกินแต่เนื้อของซาวญี่ปุนในปัจจุบันแม้แต่ชาวยุโรปและอเมริกาซึ่งกินเนื้อเป็นหสักยังต้องได้อายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2รัฐบาลเยอรมันก็เตือนประชาชนว่า ไม่ควรกินเนื้อเป็นหลักร้านอาหารผักที่เปิดใหม่ในเยอรมันเมื่อปี ค.ศ.1892ถึงมีที่นั้งกว่า 200 ที่ แต่แน่นขนัดทุกวันบนเมนูไม่เพียงมีรายการอาหารพร้อมระบุว่าเหมาะกับผู้ปวยประ๓ทใดยังหมายเหตุไว้ด้วยว่าต้องเคี้ยวให้ละเอียด!พยายามลืมงานการทุกอย่างชั่วคราวผ่อนคลายความเครียดรับประทานอาหารอย่างสบายใจ
ทำให้ลูกค้าสนใจมากขึ้น แสดงว่าลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจโทษของอาหารประ๓ทเนื้ออย่างลึกซึ้งจึงรับประทานอาหารผักตามคำแนะนำโทษของอาหารประเภทเนื้ออาหารประ๓ทเนื้อมีโทษอะไรบ้างหรือ ?
ก่อนอื่นที 1 สุดคือถ้ารับประทานอาหารประเภทเนื้อมากไปร่างกายจะรับโปรตีนจากสัตว์มากเกินจำเป็นทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นนานวันเข้าผนังหลอดเลือดจะหนาตัว ทำให้เกิด
อาการหลอดเลือดแดงแข็งตัวและเปราะ หลายปีมานี้แม้แต่เด็กอายุ 15-16 ปี ก็มีอาการหลอดเลือดแข็งตัว ยิ่งกว่านั้น
สาเหตุการตายสูงสุดคือ
เค้นเลือดในสมองแตก เค้นเลือดในสมองอุดตันโดยเฉพาะโรคหัวใจส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเค้นเลือดแดงแข็งตัวพูดได้ว่าแนวโน้มดังกล่าวเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์มากไปเนื้อทั่วไปจะไม่ถูกย่อยสลายอย่างถึงที่สุดในระบบย่อยทำให้เกิดของเน่าเสียจำนวนมาก โดยเฉพาะกรดที่เป็นพิษ เซ่นกรดกำมะถัน กรดฟอสฟอรัส ฯลฯกระแสเลือดที่ไหลเวียนจึงมีสักษณะเป็นกรด อันที่จริงกระแสเลือดควรมีลักษณะเป็นด่างอ่อนๆตามธรรมชาติสำหรับหล่อเลี้ยงและเสริมสร้างสมรรถนะของร่างกาย เมือกลายเป็นกรดก็จะหันมาทำลายสมรรถนะของร่างกายแทนนอกจากนี้เซลล์ก็จะถูกทำลายและเน่าเสียได้ง่าย ทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายต้องทำงานหนักจนขัดข้องลุกลามไปถึงไต ทำให้เกิดโรคไต คนอ้วนมากไป มีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือระบบขับถ่ายของร่างกายขัดข้องนั่นเองผลกระทบต่อร่างกายที่ร้ายแรงยิ่งกว่ากระแสเลือดเป็นกรด ก็คือด้านจิตใจ จากข้อมูลการวิจัยของ4ฝ่ายตำรวจยืนยันว่าผู้ต้องโทษที่มีนิสัยหยาบคายดุร้ายล้วนเป็นคนที่แต่เดิมกินเนื้อมากไปกรณี “รังแกเพื่อนนักเรียนด้วยกัน”ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในหมู่นักเรียนชั้นประถมและมัธยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ถึงเป็นรายงานจากผลการสำรวจวิจัยส่วนหนึ่งเท่านั้นแตกได้ข้อสรุปว่ามีสาเหตุมาจากการกินเนื้อมากไปหรือเป็นลูกหลานครอบครัวที่มักกินอาหารจานด่วนเนื่องจากพ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาทำอาหารเองเมื่อเราต้องการสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์มีชีวิตที่เปียมด้วยความรักและความสุขจึงควรหันมากินข้าวซ้อมมือแทน ไม่ควรกินข้าวขาวที่ไม่ต่างกับกากอาหาร ขณะเดียวกันควรกินผักใหม่สดที่ไม่ผ่านการต้มแกงให้มากขึ้นและลดปริมาณเนื้อสัตว์ลงตามสมควรสำหรับวิธีเลือกรับประทานผักสด ควรสนใจดังนี้  กล่องถ่ายภาพ
1. ต้องใหม่สด
2. กินผักให้สอดคล้องกับฤดูกาล (ตามหลัก“ร่างกายและผืนแผ่นดินไม่แยกจากกัน”)
3. กินอาหารในท้องถิ่นที่ตนถือกำเนิด (ตามหลัก“ร่างกายและผืนแผ่นดินไม่แยกจากกัน”)ผักที่ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลงเป็นอาหารวิเศษสุดแต่หาชื้อลำบากเพราะฉะนั้น เวลาชื้อผักกลับมาต้องแซ่ในนํ้าผสมแป้งเชื้อหมักหรือด่างทับทิมสักครึ่งชั่วโมง ก่อนกินค่อยหั่นถ้าหั่นแล้วทิ้งไว้นาน สารอาหารต่าง ๆ จะสูญสลายออกไปตามรอยหั่น นอกจากนี้ควรกินผักประเภทต่างๆ เช่น ผักใบ ผักรากและผักผล(เช่นมะเขือ)ให้สมํ่าเสมอ ดังเช่นใบหัวผักกาด มีสารอาหารอุดมมากดังคำพังเพยโบราณที่ว่า‘‘ใบหัวผักกาดงอก คุณหมอก็ว่างงาน”ไม่ว่ามนุษย์จะมีภูมิปัญญาเลิศสํ้ารุดหน้าเพียงใดก็ไม่มีทางประดิษฐ์อาหารสำเร็จรูปที่เทียบเท่าใบหัวผักกาดถ้านำใบหัวผักกาดมาหั่นฝอยเข้าตัวยา จะมีสรรพคุณสุดวิเศษ ละครดังเรื่อง“ข้าวใบหัวผักกาด” ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์อยู่ได้แนะนำอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสูง คือนำใบหัวผักกาดหั่นฝอยซาวเกลือเล็กน้อย พอข้าวสุกใส่ลงไปอบไอนํ้าในหม้อข้าวสักครู่ ก็กินได้ขาคือพื้นฐานแห่งความแข็งแรงขาถึงจะแบกรับนํ้าหนักทั้งหมดของร่างกายแต่คนเรากลับไม่สนใจขาเท่าที่ควร อันที่จริงนั้นความแข็งแรงของคนเรามีพื้นฐานอยู่ที่ขาถ้าอวัยวะภายในมีโรคใดเบียดเบียนก็จะแสดงอาการให้เห็นที่ขา อย่างความชราก็เช่นกัน จะเริ่มที่ฃาก่อนคนสมัยใหม่ถ้ายังไม่สนใจขาเช่นทุกวันนี้พอถึงปี ค.ศ.2010มนุษย์จะเดินตัวตรงไม่ได้อีกต่อไป พอถึงตอนนั้นมนุษย์ท่าจะใกล้สูญพันธุกระมัง นี่คือคำคาดคะเนของ ดร.ฮิรานูมะยาฮิชิโร ศาสตราจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุตสาหกรรมโตเกียวคำคาดคะเนนี้ดูคล้ายไม่น่าเชื่อถือ แต่ ดร.ฮิรานูมะ ยารชิโร ได้ทดสอบสมรรถนะการยืนของคน 1 หมื่นคน ผลการทดสอบยืนยันว่าทฤษฏีของเขาถูกต้อง นี่เป็นเรื่องน่าวิตกยํ่ง แต่จะไม่เชื่อก็ได้ !กล่าวกันว่ามนุษย์มีประวัติยืนด้วยสองขามา 1ล้านปี และมีประวัติเดินด้วยสองขามาประมาณ 5 แสนปีหมายความว่า ยืนก่อนเดินทว่าคนเรากลับมองข้ามปัญหาสำคัญยิ่งกว่าดังต่อไปนี้คนสมัยนี้แทบจะเห็นตรงกันว่า“การยืนเป็นการเตรียมเดิน” และมนุษย์เดินได้ดังใจมาแต่ไหนแต่ไรทั้งที่ในทางเป็นจริงมิใช่ปัญหาการยืนหรือเดินโดด ๆ หมายความว่าการยืนตรงและยืนนิ่งของคนสมัยนี้ ลดลอย่างมากมาย ถ้าไม่เดินแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนั่ง ถึงจะยืนแต่ท้ายที่สุดยังต้องเดินออกไปอยู่ดี หลังจากนั้นก็นั่งยานพาหนะแทนการเดินเมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์เราถึงจะยืนและเดินได้อย่างดี ทว่าโอกาสเดินและยืนกลับลดน้อยลงมากผลคือสมรรถนะของขาถดถอยลงหวนคิดถึงสมัยก่อนคนเรามีโอกาสยืนมากเหลือเกิน ถึงจะเป็นความทรงจำที่ไม่น่ายินดีนัก อย่างในกองทหารนอกจากเวลานอนแล้วเวลาอื่น ๆ ยกเว้นมีคำลังให้นั่งลงพักลัก 10 นาทีล้วนต้องยืนหรือเดินอย่างต่อเนื่อง ถ้าเข้าเวรยามก็ต้องยืนติดต่อกันหลายชั่วโมงสภาวะการยืนแสดงให้เห็นกิริยาและจิตใจของมนุษย์ เซ่น เกิดเหตุอย่างกะทันหัน จะสะดุ้งโหยงกระโดดขึ้นมายืนหรือมีเรื่องน่าปีติยินดีอย่างคาดไม่ถึง ก็จะกระโดดโลดเต้นโดยสรุปคือโอกาสยืนหรือเดินอย่างต่อเนื่องของคนสมัยนี้นับวันน้อยลง ความเจริญของขาจึงเสื่อมถอยตามจากการสำรวจของดร.ฮิรานูมะ ยาฮิชิ โร พบว่าความสามารถในการทรงตัวของมนุษย์สมัยนี้ถดถอยลงตลอดจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายมนุษย์สมัยก่อน จะอยู่บนล้นเท้าประมาณ 50-60% เมื่อ 20 ปีก่อนลดลงเหลือ 47%และจากการ  กล่องไฟถ่ายรูป
ทดสอบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ปรากฏว่าลดลงเหลือ 40%ถ้ายังลดลงเซ่นนี้เรื่อย ๆอีก 20 ปีให้หลัง จะลดลงเหลือ 33% ถึงตอนนั้นมนุษย์อาจจะยืนทรงตัวลำบาก ซึ่งไม  นานให้หลังมนุษย์คงก้าวไปสู่ความพินาศเป็นแน่แท้ไม่ต้องสงลัยเลยว่า เมื่อขาอ่อนแอสมรรถนะทางเพศย่อมจะเสื่อมลง เวลามีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะใช้ท่าด้านหน้าหรือท่าด้านหลังความแข็งแรงของหัวเข่าและแรงดีดสะท้อนของน่องล้วนเป็นจุดตัดสินแพ้ชนะในระยะเข้าด้ายเข้าเข็ม สำหรับข้อนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเข้าใจดีอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ขายังเป็นอวัยวะซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมจุด“จิงเสวีย” มากที่สุด เพราะฉะนั้นท่านผู้อ่านต้องเอาใจใส่ขาของท่านให้ดีวิธืป้องก้นไม่ให้ส่วนขาชราภาพคนที่มีร่างกายแข็งแรง ถ้าไม  เคลื่อนไหวเลยนอนตลอดครึ่ง
เดือนแล้ว โปรตีนซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นกล้ามเนื้อก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจาระ แขนและขาค่อย ๆ เล็กลืบลงพลังของกล้ามเนื้อฃาก็จะลดลงอย่างชัดเจน พลังแขนจะลดลงกว่า 3 เท่า
พร้อมกันนั้น ก็จะเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ชีพจรเต้นเร็วความดันโลหิตสูง และเวียนหัวตาลายในเวลาลุกขึ้นยืนแต่ถ้ายืนหยัดยืนด้วยสองขาต่อไปลัก 2-3ชั่วโมง กระดูกและกล้ามเนื้อขา ก็จะค่อย ๆ พ้นคืนสู่สภาพเดิมนี่คือรายงานของผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้มาจากการทดลอง กล่าวกันว่ามนุษย์เริ่มชราภาพโดยเริ่มจากส่วนขาทว่าคนทั่วไปล้วนมิไดใส่ใจระดับความชราของขาตัวเอง วิธีทดสอบความชราต่อไปนี้

ขอแนะนำวิธีทดสอบความชราตามลำดับ

1. ยืนเขย่งปลายเท้า นี่คือวิธีทดสอบกำลังขา
1.1 สามารถยืนเขย่งปลายเท้าขึ้นลงติดต่อกัน20ครั้ง ได้ 10คะแนน
1.2 ถ้ายืนเขย่งปลายเท้าขึ้นลงได้ไม่ถึง 5 ครั้งอีกทั้งยืนเขย่งได้ไม่มั่น เสียการทรงตัว แสดงว่าส่วนขาเริ่มชราภาพ

2. ยกขาขึ้น 90 องศา
2.1 นอนหงาย ยืดขาตรง ตามองเพดาน
2.2 ยกขาขึ้น 90 องศาทีละข้าง
2.3 ยกขาขึ้นทั้ง 2ข้างให้ส้นเท้าห่างจากพื้นประมาณ 10-15 ซม.ห้ามงอเข่าเด็ดขาด
2.4 ยืนหยัดให้ได้ประมาณ 1 นาทีหรือถ้าได้นานกว่านั้น ก็ยิ่งดีถือเป็นการ'ฟิกฝนร่างกาย

3. ใช้สันเท้าตบสะโพก
3.1 นอนควํ่าหน้า ยืดขาตรง
3.2 งอเข่าใช้ส้นเท้าตบสะโพกอย่างรวดเร็ว
3.3แรกทีเดียวจะรู้สึกว่างอเข่ายกส้นตบสะโพกทีละข้างได้ยากควรตบสลับกันสัก 10-20 ครั้ง ทำยิ่งนานแข้งขาจะยิ่งคล , องแคล่วมีพลัง

4. ทดสอบหัวเข่า
4.1 นอนควํ่าหน้าลง
4.2 งอเข่าทั้งสองข้างให้สุดดูว่าส้นเท้าห่างจากสะโพกเท่าใด
4.3 ระยะห่างควรอยู่ในระดับกำปันยิ่งน้อยก็ยิ่งดี ถ้ากล้ามเนื้อต้นขาชราภาพ ระยะห่างจะมากขึ้น ขณะเดียวกันก็แสดงว่าเข่าเสื่อม

5. ทดสอบความคล่องแคล่วของนิ้วเท้า
5.1 นั่งเอนตัวเล็กน้อย ใช้มือคํ้าด้านหลังยืดขาตรง
5.2 ใช้นิ้วเท้าคีบลับดินสอหรือกระดาษบนพื้น
5.3 ขยับนิ้วเท้าไปมาให้นิ้วหัวแม่ตีนแยกจากนิ้วอื่นๆ
5.4 วิธีทดสอบนี้ช่วยให้รู้ระดับความคล่องแคล่วของนิ้วเท้า ถ้านิ้วเท้าไม่คล่องแคล่ว ท่าเดินจะไม่น่าดูถ้าล่วนขาชราภาพ ปฏิกัร็ยาสะท้อนจากฃาสู่ส่วนสมอง
จะเชื่องช้าลงอาการงกเงินก็จะเกิดขึนในไม่ช้า กล่องไฟถ่ายรูปสินค้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น